เนื่องจากอิทธิพลของวิทยาศาสตร์ในการสำรวจสิ่งต่าง ๆรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น แสง เสียง จักรวาล ได้อย่างเป็นระบบ ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในการทำงานของวิทยาศาสตร์ในฐานะเครื่องมือพิสูจน์ “ความเป็นจริง (Reality)” สิ่งที่ทำสามารถทดสอบได้เชิงประจักษ์ไม่ว่าจะผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์เอง หรือเครื่องมือตรวจวัดต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อวัดค่า เสียง กลิ่น การสัมผัส แสดงว่าสิ่งนั้นคือความเป็นจริง แต่อย่างไรก็ตาม คนจำนวนหนึ่งมีความเชื่อว่า มีบางสิ่งบางอย่างบนโลก ที่มีอยู่จริงแต่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เช่น แนวคิดในทางศาสนา ความเชื่อ หรือสิ่งเล้นรับ มหัศจรรย์ เป็นต้น ซึ่งทำให้บทบาทของวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์ความเป็นจริง ยังเป็นข้อกังขา
การยอมรับว่าผัสสะหรือประสบการณ์เป็นสิ่งที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นเป็น “ความเป็นจริง” หรือเป็นเครื่องมือในการพิสูจน์ “ความเป็นจริง” เรียกว่า สัจนิยม (Realism) การเข้ามาของแนวคิดวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์เรียกว่า สัจจนิยมทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Realism) ลักษณะเด่นของ สัจจนิยมทางวิทยาศาสตร์ คือการพิจารณาลึกซึ้งไปถึงเรื่องงานวรรณกรรม ซึ่งหนึ่งในนักปรัชญาที่สนับสนุนความคิดนี้ก็คือ ฮิลลารี่ พัทนัม (Hillary Putnam) เพื่ออธิบายลักษณะของ สัจจนิยมทางวิทยาศาสตร์ ไว้ดังนี้
SR1 (Scientific Realism 1) – วิทยาศาสตร์มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เรื่องราวที่แท้จริงของโลก
SR2 (Scientific Realism 2) – การยอมรับทฤษฎีคือการเชื่อว่าเป็นความจริง (โดยประมาณ)
การอธิบายเช่นนี้เปิดช่องว่างให้กับแนวคิดสัจจนิยมในการเข้าถึง วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Sciences) ทั้งนี้เพราะ ฮิลลารี่ พัทนัม (Hilary Putnam) การอธิบาย สัจจนิยมแบบดั้งเดิม มีลักษณะที่ดันทุรังและมีแนวโน้มที่จะเป็นอันตราย มีแต่การโต้แย้งกันไปมา เขาจึงมุ่งพัฒนาแนวคิด Computational Functionalism และความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจ (The Mind-Body Problem)
อย่างไรก็ตาม ในการเข้าใจว่าสิ่งใดคืออะไร หรือความหมายที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ อะไรเป็นตัวกำหนด ยังคงมีปัญหา แนวคิดสัจจนิยมทางวิทยาศาสตร์ได้เสนอต่อไปถึงสิ่งที่กำหนดความหมายคืออะไร ระหว่างสภาวะจิตหรือโลกภายนอก
เพื่ออธิบายการรับรู้ (Epistemology) และทฤษฎีความหมายแบบปฏิฐานนิยม (Positivistic Theory of Meaning) ฮิลลารี่ พัทนัม (Hillary Putnam) จึงได้เสนอทฤษฎีที่มีชื่อว่า ทฤษฎีโลกแฝด (the Twin world ) เพื่ออธิบายลักษณะของการมีอยู่ว่าเกิดภายใต้โครงสร้างบางอย่าง และถ้าโครงสร้างนั้นได้รับการยอมรับโดยทั่วไป ได้รับการกำหนดรวมกันในสังคม ก็จะมีความหมาย
อ้างถึง
- https://iep.utm.edu/sci-real/#H5
- ทฤษฎีความหมายในทัศนะของพัทนัม: เกณฑ์กำหนดความหมายจากภายนอก, ณฐิกา ครองยุทธ, วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร ฉบับภาษาไทย ปีที่ 31 ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2554
- https://philoflanguage.wordpress.com/tag/%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A1/
- Hilary Putnam on Perspectivism and Naturalism, https://link.springer.com/chapter/1007/978-3-030-27041-4_4